ทฤษฎีเดือนตุลาคมกับความเศร้าที่รัฐไม่ยอมเปลี่ยนผ่าน

           ทฤษฎีเดือนตุลาคม (October Theory) เป็นกระแสในวัฒนธรรมป๊อบในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา ทฤษฎีนี้เริ่มมาจากแอคเคาท์ใน Tiktok ที่ชื่อว่า @kellysites ได้เสนอถึงแนวคิด ว่าเดือนตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่เราจะมีการสิ้นสุดของบางอย่าง การเริ่มต้นใหม่ การเปลี่ยนแปลง หรือความวุ่นวายในชีวิต เหตุการณ์เหล่านี้อาจบอกได้ว่าเดือนตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกลับมาทบทวนตัวเองก่อนจะสิ้นปี เพราะเป็นเหมือนสัญญาณที่บ่งบอกว่าเรากำลังจะเดินเข้าสู่สิ้นปี และปีนี้กำลังจะผ่านไปแล้วจริง ๆ ทฤษฎีนี้ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ไม่ว่าจะโดยสื่อหรือโดยอินฟลูเอนเซอร์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ มักมีเนื้อหาแนะนำที่มาที่ไปของทฤษฎีและชวนให้ผู้รับสารย้อนคิดถึงความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์การเปลี่ยนผ่านของตนเองในอดีตที่เกิดขึ้นในเดือนนี้
           ทฤษฎีเดือนตุลาคมเชื่อมโยงบรรยากาศของสิ่งแวดล้อมในฤดูใบไม้ร่วงหรือปลายฝนต้นหนาวเข้ากับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และเทศกาลต่าง ๆ ที่จัดในช่วงเวลานี้ซึ่งมักเป็นเทศกาลเกี่ยวกับความตาย อย่างเช่น เทศกาล Halloween ที่มีการเฉลิมฉลองไปทั่วโลก, The Day of the Dead ของแถบลาตินอเมริกา, เทศกาลฤดูใบไม้ร่วงทาคายามะในประเทศญี่ปุ่น หรือในแม้แต่ประเพณีไทยอย่างสารทเดือนสิบ, ตานก๋วยสลาก, และชิงเปรต ก็จัดในเดือนนี้เช่นกัน เดือนตุลาคมจึงชวนให้ผู้คนคิดถึงประสบการณ์ส่วนตัวในอดีตของตัวเอง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียและความทรงจำที่เป็นเชิงลบ ซึ่งก่อให้เกิดการสะเทือนอารมณ์และชี้ให้เห็นการ “เปลี่ยนผ่าน” ในอดีต อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งของเหตุการณ์เหล่านี้กลับเป็นเรื่องของการเฉลิมฉลองและการหวนคิดถึงอดีต เทศกาล Halloween และเทศกาลทาคายามะมีนัยของการเฉลิมฉลองหลังการทำงานหนักในฤดูเก็บเกี่ยว ส่วนเทศกาล The Day of the Dead, ตานก๋วยสลาก, และชิงเปรตนั้นมีรูปแบบพิธีกรรมที่ทำให้เราหวนคิดถึงบรรพบุรุษ และยังเป็นโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวเดินทางกลับมาอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าอีกด้วย
           ปฏิบัติการทางสังคมเรื่องการแพร่กระจายของทฤษฎีเดือนตุลาคมจึงสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับจิตใจและผัสสารมณ์ของมนุษย์ อย่างทฤษฎี“มานุษยวิทยาผัสสะ” (Sensory Anthropology) ที่เสนอว่า ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของปัจเจกบุคคล (การมองเห็น, การได้ยิน, การได้กลิ่น, การรับรสชาติ, และการสัมผัส) ล้วนถูกตีความและให้ความหมายภายใต้วัฒนธรรมและอำนาจที่อยู่รอบตัวควบคู่ไปกับ “สังคมวิทยาผัสสะ” (Sociology of the Senses) ที่ชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์ผัสสะเป็นสิ่งสร้างทางสังคม การรับรู้ผ่านผัสสะจึงเป็นกระบวนการตีความมากกว่าปฏิกิริยาตอบโต้ตามธรรมชาติหรือการถูกกระทำจากแรงกระตุ้นภายนอก
           ในบริบทประเทศไทย ช่วงปี พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา สื่อในโลกออนไลน์หลายแห่งมีการรวบรวมเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นอดีตซึ่งมักเป็นการสูญเสียสมาชิกในราชวงศ์ เหตุนองเลือดทางการเมือง และเหตุสะเทือนขวัญที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก มาเชื่อมเข้ากับทฤษฎีเดือนตุลาคม ทำให้มโนทัศน์ เดือนตุลาคม = เดือนโศกเศร้า แพร่กระจายไปในสังคมออนไลน์ พิจารณาดูแล้วสามารถแบ่งหมวดหมู่ของเหตุการณ์เหล่านี้ได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
           1) เหตุการณ์ที่มีการย้ำเตือนความทรงจำโดยรัฐ มักเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญของชาติในมุมมองของรัฐ โดยที่รัฐมีการสร้างปฏิบัติการบางอย่างขึ้นมาเพื่อควบคุม “ธีม” (Theme) อารมณ์ความรู้สึกโดยรวมของประชาชนในช่วงเวลานี้ ได้แก่ การตั้งให้วันครบรอบการสูญเสีย (Memorial Day) เป็นวันหยุดของรัฐ มีพิธีรำลึกที่จัดโดยหน่วยงานรัฐ มีการจัดกิจกรรมการกุศล/อาสาที่เกี่ยวเนื่อง มีการประกาศเกียรติคุณในช่องทางต่าง ๆ ที่ถูกทำซ้ำในทุกปี จนกลายเป็นความทรงจำร่วมของชาติที่รัฐคัดเลือกไว้แล้ว ถึงแม้ว่าประชาชนอาจไม่ได้มีปฏิบัติการที่แสดงความอาลัย/เสียใจ/หวนคิดถึงออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม
           2) เหตุการณ์ที่ไม่มีการย้ำเตือนความทรงจำโดยรัฐ เหตุการณ์เหล่านี้มักเป็นความสูญเสียจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ขัดแย้งกันระหว่างผู้มีอำนาจและประชาชน หรือเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก การนำเสนอเพื่อเตือนความทรงจำพบในสื่อบางแห่ง กิจกรรมการรำลึกถึงมักจัดโดยภาคการศึกษาและภาคประชาชน (บางส่วน) มีการจดจำเฉพาะคนบางกลุ่ม ทำให้เห็นว่า เรื่องราวของคนทั่วไปสามารถเลือนหายไปได้ง่ายดายกว่าความทรงจำร่วมของชาติ เพราะขาดการกระตุ้นเตือนที่แพร่หลายในทุกกลุ่มประชากร
           และในปี พ.ศ. 2568 นี้ การสูญเสียครั้งใหญ่ของชาวไทยได้ทำให้เดือนตุลาคมได้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งการปะทะกันระหว่างความอาลัยกับความรู้สึกของการเฉลิมฉลองท้ายปี เห็นชัดจากการมองผ่านบริบทเมือง กรณี การยกเลิกงานดนตรีและคอนเสิร์ตต่าง ๆ, การเปลี่ยนการจัดแสดงไฟในช่วงวันลอยกระทง (และช่วงเทศกาลปีใหม่) ให้มีสีสันน้อยลง และการพ่นสีดำทับไฟจัดแสดงรูปดอกไม้บริเวณเกาะกลางถนนเชิงสะพานนวรัฐฝั่งตะวันตก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นต้น แม้ว่าทฤษฎีเดือนตุลาคมจะถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้งในเชิงเน้นย้ำเรื่องความสูญเสียและความตายที่มักเกิดในเดือนนี้ แต่นัยยะเรื่องการเปลี่ยนผ่านนั้นยังไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก เมื่อประกอบกับการกระทำที่ภาครัฐพยายามเปลี่ยนผัสสะของการมองเห็นและการได้ยินของประชาชนให้อยู่ในโทนของการไว้ทุกข์อย่างเข้มข้นที่คาบเกี่ยวระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากฝั่งประชาชนว่าการควบคุมผัสสะการมองเห็นโดยรัฐ ในพื้นที่ของรัฐอย่างอาคารหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีการตกแต่งด้วยผ้าสีขาวดำ การลดธงครึ่งเสา การจัดซุ้มถวายความอาลัยในโทนสีไว้ทุกข์ ไปจนถึงการแต่งกายของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่ถูกจำกัดให้ใส่สีไว้ทุกข์นั้นมีความเหมาะสมตามกาลเทศะและธรรมเนียมปฏิบัติ แต่การลดทอนหรือจำกัดกิจกรรมทางผัสสะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสนุกสนานและความรื่นรมย์ในบรรยากาศเทศกาลส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวนี้สร้างผลกระทบทางอารมณ์และผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วง High Season ในพื้นที่ภาคเหนือ
           ภาคประชาชนจึงดูเหมือนจะเป็นฝั่งที่ยอมรับและเข้าถึงแก่นเรื่อง “การเปลี่ยนผ่าน” ของทฤษฎีเดือนตุลาคมได้มากกว่า ประชาชนได้ยอมรับเอาอารมณ์ความเศร้าที่รัฐสร้างขึ้นมากระทบผัสสะต่าง ๆ และได้หวนคิดถึงเหตุการณ์ความสูญเสียในอดีต (ทั้งแบบที่รัฐย้ำเตือนความทรงจำและรัฐไม่ย้ำเตือน) และความสูญเสียในปัจจุบัน (ที่รัฐผลิตซ้ำตลอดเวลา) แต่ไม่ยอมที่จะถูกแช่แข็งไว้ในอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้เพียงอย่างเดียว การตั้งคำถามและการวิจารณ์นั้นแสดงให้เห็นว่าสังคมต้องการเดินหน้าไปสู่โอกาสพบเจอสิ่งใหม่และการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในอนาคตอีกทั้งยังอนุญาตให้ความสูญเสียกับการเริ่มต้นใหม่ร่วมเดินไปพร้อมกันได้ ภาครัฐจึงอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะขยับอารมณ์ของรัฐให้เข้าใจและเท่าทันประชาชน หรือจะยังคงประกอบสร้างสิ่งเดิม ๆ ที่ไม่ส่งผลต่อผัสสะของประชาชนมากเท่าในอดีตอีกต่อไป

เอกสารอ้างอิง
สรัญญา เตรัตน. (2558) แนวคิดสังคมวิทยาผัสสะ: การทำความเข้าใจผู้คนและสังคมผ่านผัสสะ. วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา, 34(2): 102-122.
Springnews. (2567). October Theory ทฤษฎีเดือนตุลาคม คืออะไร. https://www.springnews.co.th/news/hot-issue/853735
Supattra Marketeer. (2567). ทำไมเรามักจะจบสิ่งที่ไม่คู่ควรช่วงเดือนตุลาคม ชวนรู้จัก “ทฤษฎีตุลาคม” เดือนแห่งการเปลี่ยนแปลง. Marketeer. https://marketeeronline.co/archives/383852
Classen, C. (1993). Worlds of Sense: Exploring the Senses in History and Across Cultures. Routledge.
__________. (1997). Foundations for an Anthropology of the Senses. International Social Science Journal, 153: 401–20.
Howes, D. (2003). Sensual Relations: Engaging the Senses in Culture and Social Theory. University of Michigan Press.
__________. (Ed.). (1991). The Varieties of Sensory Experience: A Sourcebook in the Anthropology of the Senses. University of Toronto Press.
__________. (Ed.). (2004). Empire of the Senses: The Sensual Culture Reader. Berg.
Maslen, S. (2015). “Researching the Senses as Knowledge.” The Senses and Society, 10(1): 52-70
Vannini, P, Waskul, D, and Gottschalk, S. (2012). The Senses in Self, Society, and Culture: A sociology of the senses. Routledge.
เรื่องโดย สิตานันท์ สุวรรณศิลป์
________________________
Email: ccsccmu@gmail.com
Website: CENTRE FOR CULTURAL STUDIES AND CONTEMPORARY CITY
“เพราะวัฒนธรรมบ่เคยหยุดนิ่ง และเมืองเป็นของหมู่เฮาทุกคน”
#CCSC_CMU #CulturalStudy #LannaStudy #ContemporaryCity #CMU #ChiangMaiUniversity #octobertheory