คิดถึงนะเชียงใหม่ | Chiang Mai, I miss you.
ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา เมื่อเราเลื่อนดูไทม์ไลน์จากแพลตฟอร์มแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ จะพบกับการปรากฏขึ้นของกระแสความคิดและอารมณ์ทางสังคมที่มีลักษณะ “Nostalgia” หรือ “การโหยหาอดีต” ซึ่งแต่เดิมถูกมองว่าอาการเจ็บป่วยทางจิตใจของทหารหรือนักเดินเรือที่คิดถึงบ้าน แต่ในมุมมองของสังคมวิทยาร่วมสมัย Nostalgia ถูกตีความใหม่ว่าเป็น “อารมณ์ทางสังคม” (social emotion) ที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อัตลักษณ์ และความทรงจำร่วมของสังคม เราสามารถเห็นกระแสความคิดเรื่องการโหยหาอดีตได้จากความนิยมในวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น พื้นที่ของ “วัฒนธรรมย้อนยุค” (Retro culture), ความโหยหายุค Analogue หรือวิถีชีวิตแบบ Slow life การโหยหาอดีตถูกนำไปใช้สร้างคุณค่าทางสัญลักษณ์และมูลค่าให้กับวัตถุบางประเภทที่ไม่ทันสมัย/ตกยุคไปแล้ว เช่น การกลับมาของแผ่นเสียงไวนิล, กระแสแฟชั่น Y2K หรือช่วงทศวรรษที่ 1990s การท่องเที่ยวเชิงมรดกทางวัฒนธรรม (heritage tourism) ไปจนถึงการสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ด้วยการสร้างอัตลักษณ์ร่วมของคนเจนวาย (Y Generation หรือ Millennials คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1980 ถึงกลางคริสต์ทศวรรษที่ทศวรรษ 1990)
การโหยหาอดีตถูกพูดถึงในฐานะการเป็น Zeitgeist หรือ จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางสังคมวิทยาใช้อธิบายบรรยากาศทางความคิด ค่านิยม และแบบแผนทางวัฒนธรรมที่เป็นบรรทัดฐานร่วมของสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง มักถูกใช้เพื่ออธิบายสิ่งที่ผู้คน “เชื่อ” หรือ “รู้สึก” ว่าสำคัญในยุคสมัยนั้น ๆ เช่น ความศรัทธาต่อเหตุผลในยุคแห่งการตื่นรู้ (Enlightenment) หลังการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ และการสร้างอัตลักษณ์และตัวตนในโลกเสมือนภายใต้เทคโนโลยียุคดิจิทัล เป็นต้น ซึ่ง Svetlana Boym นักทฤษฎีวัฒนธรรม ได้แบ่งการโหยหาอดีตออกเป็นสองแบบ ได้แก่ Restorative nostalgia – อยากให้อดีต “กลับมาเหมือนเดิม” และมักเกี่ยวพันกับอุดมการณ์ชาตินิยม/จารีตนิยม และ Reflective nostalgia – มุ่งสะท้อนคิด อนุญาตให้อดีตเป็นพื้นที่ไตร่ตรอง ไม่จำเป็นต้องกลับไปเหมือนเดิม
เมื่อสังคมร่วมสมัยปรากฏการโหยหาอดีตอย่างกว้างขวางได้ทำให้การก่อรูปของประเพณีประดิษฐ์ ดังที่ Eric Hobsbawm และ Terence Ranger นักประวัติศาสตร์ อธิบายว่า ประเพณีจำนวนมากเป็นสิ่งที่ถูก “ประกอบสร้างใหม่” เพื่อตอบสนองบริบทสังคมร่วมสมัย สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 มีกิจกรรมสำคัญที่จัดขึ้นภายในจังหวัด นั่นคือ เทศกาลลอยกระทง-ยี่เป็ง ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 และประเพณีการรับน้องขึ้นดอยของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่จัดขึ้นในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 จากการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมในพื้นที่ที่จัดกิจกรรม และการค้นหาข้อมูลย้อนหลังในระยะเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2558-2568) พบว่า ในกรณีของประเพณีลอยกระทง ปริมาณขยะกระทงที่ดักได้จากฝายกั้นน้ำป่าแดดหลังจบวันเทศกาลมีปริมาณน้อยลงเรื่อย ๆ ปริมาณขยะจากกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาตินั้นลดลงอย่างต่อเนื่องตามมาตรการรณรงค์และการยกระดับการตระหนักรู้ถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม แต่ปริมาณขยะจากโฟมและขนมปังกลับมีความผันผวนและมีเปอร์เซ็นต์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลัง เนื่องจากนโยบายต่าง ๆ ผลักดันให้ประชาชนลอยกระทงน้อยลง กระทง 1 ใบ สามารถเป็นตัวแทนของ 1 ครอบครัวได้ แต่การที่พิธีกรรมถูกทำให้เป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์มากขึ้นกลับส่งผลให้มีการเลือกใช้วัสดุที่คงทนและให้ “ภาพ” ที่สวยงาม แต่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมอย่างโฟมและขนมปัง ซึ่งสอดคล้องกับกรณีเทศกาลยี่เป็งที่ในรอบสิบปีหลังมีการขออนุญาตปล่อยโคมลอยเพิ่มจำนวนขึ้นจนถึงหลักหมื่นดวง สะท้อนการสร้าง “ภาพจำ” ใหม่ที่เน้นความงดงามแบบ “สื่อสังคมออนไลน์” แต่ยังคงหลงเหลือร่องรอยความเชื่อแบบเก่าที่ให้อารมณ์ทางสังคมแบบโหยหาอดีตมากกว่าการเป็นพิธีกรรมตามความหมายดั้งเดิม การประกอบสร้างนี้เชื่อมยังโยงกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เมื่อระบบทุนนิยมเข้ามาหาประโยชน์ความโหยหาอดีต โดยผลิต “สินค้า” และ “ประสบการณ์” ขายให้แก่ผู้บริโภค นั่นคือ ธุรกิจแห่งการโหยหาอดีต (Business of Nostalgia หรือ Nostalgia Economy) ตัวอย่าง “สินค้า” ในรูปแบบของ “ประสบการณ์” ภายใต้ทัศนียภาพที่ถูกจัดวางไว้โดยนายทุน เห็นได้ชัดในกรณีของกิจกรรมการปล่อยโคมลอยในเทศกาลยี่เป็งที่มีจำนวนในหลักหมื่นโคม และเก็บค่าบัตรเข้าร่วมกิจกรรมในหลักพันบาท (และมีการขายต่อ หรือ Reselling ในราคาสูงถึงหลักหมื่นบาท) เพื่อให้สามารถเข้าไปถ่ายภาพนิ่ง/ภาพเคลื่อนไหวขณะที่โคมจำนวนมากลอยขึ้นฟ้าไปพร้อม ๆ กัน มากกว่าการปล่อยโคมด้วยความเข้าใจตามความเชื่อดั้งเดิม
ในขณะที่ ประเพณีรับน้องขึ้นดอยของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นมีการกลับมาของกระแสการรับน้องแบบ SOTUS ขึ้นอีกครั้งหลังขาดช่วงไปในช่วงการระบาดของโควิด-19 ในปี พ.ศ. 2563-2564 ทำให้ในช่วงเวลาต่อมา แนวคิดเรื่อง SOTUS เบาบางลงโดยเฉพาะกิจกรรมที่เห็นเป็นรูปธรรม เห็นได้จากการที่ปริมาณข่าวความรุนแรงด้านกายภาพของการรับน้องในมหาวิทยาลัยมีน้อยลง มีการยกเลิก/ปรับเปลี่ยนให้ผู้เข้าร่วมมาด้วยความสมัครใจ แต่จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (โดยเฉพาะนักศึกษาชั้นปีที่ 1) ในปี พ.ศ. 2568 มีจำนวนมากขึ้น เริ่มมีการออกมาแชร์เรื่องราวประสบการณ์การรับน้องในอดีตและมีการเชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องในปีนี้ ในคณะต่าง ๆ เริ่มนำเอากิจกรรมร้องเพลงเชียร์ ร้องเพลงบูม และการซ้อมวิ่งขึ้นดอยกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าความเข้มข้นของระบบ SOTUS ที่พยายามประกอบสร้างขึ้นใหม่ไม่ได้รุนแรงเท่าในอดีต แต่การหวนกลับมาของระบบนี้ภายใต้ยุคที่เกิดความตระหนักรู้เรื่องสิทธิและเสรีภาพในกลุ่มเยาวชนขึ้นมาแล้ว ได้ช่วยสะท้อนปัญหาที่ว่าสังไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากโลกาภิวัตน์ เช่น การย้ายถิ่นฐาน การขยายความเจริญไปยังเมืองตามภูมิภาค เศรษฐกิจและเทคโนโลยียุคดิจิทัล ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยว ขาดความสัมพันธ์ทางสังคมในเชิงกายภาพ ไปจนถึงความรู้สึกขาดรากเหง้า อดีตจึงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือหล่อเลี้ยงอัตลักษณ์ ความมั่นคงทางจิตใจ และ Sense of Belonging ในระดับชุมชน กลุ่มเยาชนซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับผลกระทบจากโลกาภิวัตน์ที่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว ผนวกรวมกับกลุ่มศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบันที่โหยหาอีดตแบบ Restorative nostalgia จึงทำให้เกิดปฏิบัติการแบบใหม่ของรับ SOTUS ภายใต้ Reflective nostalgia ที่ทำให้กิจกรรมมีความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจน้อยลง มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และไม่เน้นไปที่การกลับไปเป็นระบบ SOTUS ที่รุนแรงแบบเดิม นอกจากนี้ กิจกรรมรับน้องขึ้นดอย ปี พ.ศ. 2568 ยังส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยลดการสร้างขยะจากกิจกรรมดังกล่าวผ่านมาตรการการแยกขยะและลดต้นเหตุแห่งการสร้างขยะอย่างการลดจำนวนบูธแจกสิ่งของจากภาคธุรกิจ ทำให้การบริโภคถูกจำกัดให้น้อยลง ต่างจากอดีตที่เปิดกว้างให้ภาคธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะ “ผู้สนับสนุน” กิจกรรม
โดยสรุป จากการสังเกตการณ์ประเพรณีลอยกระทง-ยี่เป็ง และกิจกรรมรับน้องขึ้นดอย ทำให้เห็นว่า การปรากฏขึ้นของการโหยหาอดีตได้กลายเป็นจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยของผู้คนในยุคดิจิทัล ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ความไม่แน่นอน และความพร่าเลือนของอัตลักษณ์ ทำให้ผู้คนต้องการ “พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์” ให้ยึดโยงกับอดีตอันดีงามเพื่อต่อต้านความรู้สึกเชิงลบต่อตนเองในปัจจุบัน การโหยหาอดีตจึงไม่ใช่เพียงความรู้สึกของบุคคล แต่เป็นกลไกทางสังคมที่ช่วยให้ผู้คนรับมือความไม่แน่นอน ขณะเดียวกันก็ถูกระบบทุนนิยมดึงไปใช้สร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์ ผ่านสินค้า ประสบการณ์ และพื้นที่ที่ทำให้ “อดีต” กลายเป็นสิ่งบริโภคได้ ประเพณีทั้ง 2 อย่างจึงทำให้เมืองเชียงใหม่เป็นเสมือนหมุดหมายของความคิดถึง “ภาพ” ในอดีตที่น่าประทับใจ ในขณะเดียวกัน ประเพณีประดิษฐ์ที่ถูกดัดแปลงให้เข้ากับสังคมร่วมสมัยและระบบทุนนิยมก็ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน การจัดกิจกรรมสนองการโหยหาอดีตจึงไม่อาจแยกขาดจากกระแสความคิดและปัญหาสังคมในปัจจุบันไปได้ แต่ดำรงอยู่ด้วยการเป็น “อดีตร่วมสมัย” ที่ง่ายต่อการเสพไม่ว่าจะในทางเศรษฐกิจหรือทางความรู้สึกนึกคิดก็ตาม
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
สกาวรัตน์ บุญวรรโณ และคณะ. (2562). การกลายเป็นสินค้าเชิงวัฒนธรรมของความทรงจำในสังคมไทย.
วารสารวิชาการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สังคม (JSSRA), 13(39), 1–14.
Assmann, J. (1995). Collective memory and cultural identity. New German Critique, 65, 125–133.
Boym, S. (2008). The future of nostalgia. Basic Books.
Hobsbawm, E. & Ranger, T. (1983). The Invention of Tradition. Cambridge University Press.
Legg, S. (2004). Memory and nostalgia. Cultural Geographies, 11(1), 99–107.
เรื่องโดย สิตานันท์ สุวรรณศิลป์
-----------------------------------
Email: ccsccmu@gmail.com
Website: CENTRE FOR CULTURAL STUDIES AND CONTEMPORARY CITY
“เพราะวัฒนธรรมบ่เคยหยุดนิ่ง และเมืองเป็นของหมู่เฮาทุกคน”
#CCSC_CMU #CulturalStudy #LannaStudy #ContemporaryCity #CMU #ChiangMaiUniversity #ลอยกระทง #ยี่เป็ง #รับน้องขึ้นดอย #Zeitgeist #Nostalgia #BusinesOfNostalgia