"เสื้อผ้า หน้าผม: เครื่องประกอบ “การแสดง” ความจงรักภักดี"
“...ผมใส่เสื้อมีลายแบบนี้ท่านโอเคไหม หรือผมต้องเปลี่ยน…” เสียงชายวัยกลางคนทำงานจิตอาสาพระราชทานถามกับตำรวจวังขณะเดินนำหน้าผู้เขียนเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง
ท่ามกลางความอึมครึมของเมฆฝนในช่วงบ่ายวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน ณ ท้องสนามหลวงในงานพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ผู้คนจำนวนหนึ่งพร้อมกับผู้เขียนได้เดินทางจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสนามไชย แล้วขึ้นบริการรถสาธารณะรับส่งถึงทางเข้าบริเวณท้องสนามหลวงเพื่อมุ่งหน้าไปทางศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวังพร้อมกันนี้ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยการสวมเสื้อผ้าสีดำสนิท ผมเกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อย ใบหน้าแต่งแต้มอย่างพอเหมาะ บ้างสวมชุดไทยพระราชนิยมสวยงามตามแบบฉบับ ขณะที่ผู้เขียนกำลังเดินผ่านจุดคัดครองใต้ดินสุดท้ายก่อนขึ้นที่หน้าประตูพระบรมมหาราชวังก็มีเจ้าหน้าที่จิตอาสามายืนรอตรวจเครื่องแต่งกายและเจ้าหน้าที่จาก สนง.กรุงเทพมหานครมาคอยบริการให้ผู้เข้าร่วมหยิบยืมเครื่องแต่งกายเพื่อให้เหมาะสมกับการเข้าร่วมงาน
สิ่งที่น่าสนใจคือหน่วยงานภายใต้กำกับของกรุงเทพมหานครได้จัดเตรียม “บริการเสื้อผ้าไว้ทุกข์” และ “มุมแต่งตัว” สำหรับประชาชนที่แต่งกาย “ไม่เหมาะสม” ให้สามารถเปลี่ยนได้ก่อนเข้าสู่พื้นที่พิธี นี่จึงเป็นตัวอย่างชัดเจนของ การบริหารจัดการร่างกายทางพิธีกรรมที่รัฐเข้ามามีบทบาทกำหนดความเหมาะสมผ่านวัตถุและร่างกายของประชาชน การเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ไม่ได้เป็นเพียงการอำนวยความสะดวก แต่ยังเป็น “การกำกับเชิงสัญลักษณ์” (symbolic regulation) ที่ทำให้ความจงรักภักดีปรากฏในรูปของการแต่งกายที่เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมีระเบียบ
“...เห็นเค้าใส่ชุดไทยสีดำกันสวยๆ เช่าที่ร้านก็แต่งหน้าทำผมมาถ่ายรูปสวยเลยนะ แต่ไม่กล้าใส่หรอก อาย ไม่เคยใส่ กลัวเค้าจะหาว่าทำตัวเป็นคุณนาย…” เสียงของน้าหญิง (นามสมมติ) บอกกับเพื่อนของเธอขณะนั่งรถบริการเข้ามาที่สนามหลวง
การแต่งกายไว้ทุกข์ในห้วงเวลานี้จึงมิใช่เพียง “การแต่งกายเพื่อไว้ทุกข์” ให้กับบุคคลสำคัญอย่างพระพันปีหลวงเพียงเท่านั้น หากแต่เป็นการประกอบการทางวัฒนธรรมที่ทำให้ “กาลเทศะของเสื้อผ้าหน้าผม” กลายเป็นสิ่งซึ่งสื่อถึงความรู้สึกจงรักภักดี ความเศร้า การแต่งกายมีผลต่อการการจัดการให้พสกนิกรเกิดความมีระเบียบ สมกับฐานะของพระพันปี ฉะนั้นภายใต้สายตาของรัฐและสังคม การแต่งกายจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล หากแต่เป็น “การสื่อสารทางสัญลักษณ์” ที่มีอำนาจและความหมายรวมอยู่ด้วย
“...น้องไม่สะพายกระเป๋า เอาลงมาถือแล้วค่อยเข้าไป…” เสียงตำรวจวังหน้าประตูทางเข้าศาลาสหทัยสมาคมร้องทักผู้เขียนขณะสะพายถุงผ้าคล้องไหล่
แนวคิดเรื่อง “habitus” และ “cultural capital” ที่เสนอโดย Pierre Bourdieu ชวนให้เราเข้าใจว่าการเลือกเสื้อผ้า หน้าผม และท่วงจังหวะของร่างกายของเราในแต่ละช่วงเวลาที่ต้องดำเนินชีวิตทางสังคม (Social life) ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้บริบท หากแต่เป็นผลจากการแฝงฝังของแบบแผนทางสังคมผ่านร่างกาย การเรียนรู้เรื่องการแต่งกายเพื่อเข้าสังคมอย่างการแต่งกายไว้ทุกข์ให้เหมาะสมกับ “งานพระราชพิธี” จึงเป็นการจัดวางร่างกายให้สอดคล้องกับรสนิยมของสังคมและจารีตที่ถูกนิยามโดยชนชั้นนำและผู้มีอำนาจ การแต่งกายอย่าง “ถูกกาลเทศะ” ก็คือการแสดงถึงการมีทุนทางวัฒนธรรมที่เกิดมาจากการที่บุคคลได้เรียนรู้จากการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในสังคมโดยได้สะท้อนมิติความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่แสดงถึงความมีวินัย ความรู้ดีในพิธีการ และความเป็นพลเมืองดี (ใต้ปกครอง) ที่เรียนรู้และเข้าใจ “ระเบียบแห่งความภักดี” หรือ วาทกรรม “กาลเทศะ” นี้เอง
“...ตั้งแถวนะคะ ทุกคนเดินตามหนูมา หยุดค่ะ ซ้ายหัน ทุกคนถวายคำนับ ผู้ชายโค้ง ผู้หญิงถอนสายบัว ทำพร้อมกันนะคะ หนึ่ง สอง สาม…” เสียงกังวาลของตำรวจวังผู้หญิงหน้าพระบรมสาทิศลักษณ์สมเด็จพระพันปีกำกับการให้ 20 คนตรงหน้าทำความเคารพพร้อมกัน
งานเขียนเรื่อง The ritual process: Structure and anti-structure โดย Victor Turner ชี้ให้เห็นว่า“พิธีกรรม” เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนละจากชีวิตประจำวันเพื่อเข้าสู่โลกเชิงสัญลักษณ์ร่วมกัน สนามหลวงในห้วงเวลานี้จึงกลายเป็น “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ชั่วคราวอีกครั้ง” ที่ทุกคนสวมบทบาทร่วมกันในฐานะ “ผู้ไว้ทุกข์แห่งแผ่นดิน” เสื้อผ้า หน้าผม และท่าทีสงบนิ่งของผู้ร่วมงานได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายของการเข้าสู่สภาวะนั้น บริการเสื้อผ้าของทีมงานจากหน่วยงานรัฐจึงช่วย “คัดกรอง” ให้ทุกคนสามารถก้าวเข้าสู่สภาวะพิธีกรรมได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ตามที่รัฐกำหนด การแต่งกายจึงไม่เพียงเป็นกิจวัตรของปัจเจกเท่านั้น ทว่ายังเป็นการผลิตซ้ำของอำนาจเหนือในสังคมผ่านร่างกายของเราที่ถูกจัดระเบียบโดยรัฐเช่นกัน
การแต่งกายไว้ทุกข์ในสนามหลวงจึงมิใช่เพียงการแสดงความโศกเศร้าต่อการสูญเสียต่อการจากไปของผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “แม่” ของปวงชนชาวไทยเท่านั้น หากแต่เป็นการกอปรสร้างความหมายของ “ความจงรักภักดี” ผ่านร่างกายด้วยการแต่งกายที่เปรียบได้กับ “ภาษาทางการเมือง” ที่รัฐและสังคมต่างร่วมกันสร้างขึ้น เสื้อผ้า หน้าผม และท่าทีสงบเรียบร้อยในพิธี ไม่ได้เพียงบอกว่า “เราสุดแสนจะรักและอาลัย” แต่ยังบอกว่า “เรารู้วิธีแสดงความรักนั้นให้ถูกต้อง (ตามกำหนด)” ในกรอบของวัฒนธรรมอันดีงามที่รัฐต้องการให้ร่วมกันรักษาสืบไป พร้อมกันเรายังสามารถถ่ายภาพเผยโฉมหน้าของเราเพื่อเข้าร่วมเป็นหนึ่ง “ในนามของความจงรักภักดี” ซึ่งสามารถอวดความโศกสลดลงบนสื่อสังคมออนไลน์ให้คนได้ร่วมชื่นชมในความภักดีของเราได้อย่างเต็มภาคภูมิผ่านยอดกดถูกใจและคอมเมนต์ได้เช่นกัน
“...ผมว่า โอเคแล้วครับ…” เสียงนายตำรวจวังตอบกลับชายวัยกลางคนที่ถามถึงเสื้อลายใบไม้สีเหลืองพื้นดำของตน
*** ผู้เขียนเรียบเรียงจากประสบการณ์ในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมนี้และเป็นผู้สังเกตการณ์ในสนามวิจัยแห่งนี้ ขอขอบคุณเสียงของผู้คนในสนามที่เข้ามากระทบโสตประสาทของผู้เขียนตลอดการเดินทางตั้งแต่ต้นจนจบ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 51 นาที
#แด่ทุกความจงรักภักดี
หนังสือแนะนำอ่านเพิ่มเติม
Bourdieu, P. (1984). Distinction: A social critique of the judgement of taste. Harvard University Press.
Turner, V. (1969). The ritual process: Structure and anti-structure. Aldine Publishing.
เรื่องโดย วรพล ศิริชื่นวิจิตร (Ph.D. Student SOC-ANTH., CMU)
-----------------------------------
Email: ccsccmu@gmail.com
Website: CENTRE FOR CULTURAL STUDIES AND CONTEMPORARY CITY
“เพราะวัฒนธรรมบ่เคยหยุดนิ่ง และเมืองเป็นของหมู่เฮาทุกคน”
#CCSC_CMU #CulturalStudy #LannaStudy #ContemporaryCity #CMU #ChiangMaiUniversity